วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

Test Drive: Nissan Skyline R34 GT-R V-spec II

Test Drive: Nissan Skyline R34 GT-R V-spec II



          อยากจะบอกว่าหาอยู่นานมากๆ นานจริงๆ สำหรับเจ้ารถรุ่นนี้ ผมละอยากได้จะมันมาทำบทความใจจะขาดตั้งแต่สมัยเริ่มสร้าง web ใหม่ๆ แต่หาไม่ได้สักที เพราะเชื่อหรือไม่ว่าจำนวนรถรุ่นนี้ในเมืองไทยมันมีน้อยกว่า F360 ตั้งสามเท่า!!! ตอนผมหา Ferrari F360 มาทำบทความยังง่ายซะกว่าอีก... ซึ่งเจ้ารถหายากคันนี้จะเป็นอะไรไปได้ซะอีกละ ถ้าไม่ใช่เจ้าของฉายา Godzilla นามว่า Nissan Skyline R34 GT-R V-spec II
ก่อนอื่นมีข่าวฝากนิดนึงครับ คือมีท่านเจ้าของท่านหนึ่งต้องการจะปล่อย Nissan Skyline R34 GT-R V-spec สีขาวครับ สภาพสวยมาก รายละเอียดอยู่ด้านล่างถัดลงไปจากบทความ ผู้ใดสนใจลองดูรายละเอียดได้ครับ



กลับมาที่พระเอกของเราต่อ หากจะนับจำนวนรถรุ่นนี้บนถนนที่เรียบยังกะโลกพระจันทร์ของเมืองไทย เท่าที่ผมทราบจากท่านสมาชิกใน web ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล เห็นบอกว่ามีอยู่ประมาณสิบกว่าคันเท่านั้น ส่วนที่มีน้อยไม่ใช่เพราะรถมันไม่ดี แต่เพราะว่าราคานำเข้ามาตอนนั้นค่อนข้างสูงทีเดียวดังนั้น R34 GT-R จึงเป็นรถที่บอกถึงสถานะและรสนิยมของเจ้าของที่ครอบครองได้เป็นอย่างดีครับ
โดยเจ้า R34 GT-R นี่ จะแบ่งออกเป็นรุ่นย่อยๆอีกสามรุ่น คือ GT-R, GT-R V-spec และ GT-R V-spec II ซึ่งรายละเอียดแต่ละรุ่นจะแตกต่างกันเล็กๆ น้อยๆ เช่นแผง diffuser, ฝากระโปรงหน้าทำจาก carbon-fiber พร้อมช่องดักลมบนฝากระโปรง, ไฟเลี้ยวหน้าในกันชนสีขาว, ลักษณะ scale ของวัดรอบในหน้าปัด นอกจากนี้ยังมีรุ่น N1 ที่จะผลิตออกมาเพื่อใช้ทำการแข่งขัน ส่วน M-spec Nur กับ V-spec II Nur ผมถือว่าเป็นรุ่นพิเศษครับ โดยเจ้า N1 กับ Nur นี่ เครื่องยนต์จะได้รับการปรับปรุงเพื่อรองรับการใช้งานที่หนักหนาสาหัส ทำให้สามารถนำมาทารุณได้มากกว่ารุ่นธรรมดา



พระเอกของเราคราวนี้เป็นเจ้า R34 GT-R V-spec II ซึ่งในบ้านเราเท่าที่ผมเห็นมีอยู่สองคัน คันนี้กับอีกคันหนึ่งสีขาวครับ... เรามาดูหน้าตาภายนอกกันก่อนดีกว่า หน้าตาภายนอกสำหรับเจ้า R34 นี่แล้วแต่คนมองฮะ แต่ก็นับว่าต้องตาต้องใจชายหนุ่มหุ่นล่ำสันเป็นอย่างมาก แทบจะนับว่าเจ้า R34 เป็นรถในฝันของหนุ่มวัยรุ่นอายุไม่เกิน 30 ได้เลยละครับ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุที่ชื่นชมมันมาตั้งแต่ R32 (หรือก่อนหน้านั้น) หรือว่าพึ่งจะมารู้จักมันจากหนังเสี่ยวๆ (ในความคิดผม) เรื่อง 2 Fast 2 Furious ก็เหอะ... แต่ในทางกลับกันสาวๆ ส่วนใหญ่มักจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่สวย” แฟนผมเองยังบอกว่าไม่สวยเลย รถอะไรหน้าตามู่ทู่ชะมัด...



ทางด้านหน้ามองยังไง เจ้า R34 ในความคิดของผมก็เหมือนกับการจับเอาเจ้า R33 มาวิ่งชนกำแพงให้หน้าให้มันย่นเข้าไป ถ้าลองมองย้อนกลับไป ผมว่าหน้ามันทู่ขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ R32-33-34 แต่ที่ทู่ขึ้นนี่แหละถูกใจผมนัก ดูดุดันดีเหลือเกิน... ไฟหน้าเป็นแบบ Xenon สว่างสดใส ไม่มีตกยุค กันชนหน้ามีช่องดักลมเต็มไปหมดเท่าที่ลองนับดูนับได้ 11 รูฮะ ขาดอีก 7 จะเท่ากับจำนวนหลุมในสนามกอล์ฟ แต่ไม่ได้เจาะไว้ขู่เฉยๆ นะครับ มันมีประโยชน์ไว้เพื่อไว้ดักลมเข้าเครื่องไประบายความร้อนในระบบต่างๆ ในตัวรถ



จุดที่จะบอกความแตกต่างระหว่าง V-spec II กับ V-spec ตัวธรรมดาก็คือไฟเลี้ยวในกันชนหน้าของตัว V-spec II จะเป็นสีขาว ส่วนของตัว V-spec ธรรมดาจะเป็นสีเหลือง นอกจากนี้ skirt หน้าที่ต่อจากกันชนของตัว V-spec II จะเป็นสีเดียวกับตัวรถ แต่ถ้า V-spec ธรรมดาจะเป็นสีดำ โดยในตัว V-spec ทั้งสองรุ่นจะมีลิ้นต่อกันชายล่างลงมาอีกทีครับ ใช่ครับไอ้เจ้าชิ้นสีดำๆเล็กๆ นั่นแหละ แต่ถ้าเป็นตัว GT-R ธรรมดาจะไม่มี นอกจากนี้ฝากระโปรงหน้าของ V-spec II นั้นทำมาจาก carbon-fiber และมีช่องดักลมเล็กๆบนฝากระโปรงครับ… นอกนั้นเหมือนกับ GT-R ตัวอื่นๆ เปี้ยบ



ทางด้านข้างของ GT-R นี่มองยังไงก็ไม่สปอร์ตเอาซะเลย มันแข็งเหลี่ยมและทื่อดีแท้ มีโป่งยื่นออกมาเป็นเหลี่ยมๆ ช่วยเพิ่มเติมความเหลี่ยมโดยรวมเข้าไปอีก ทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง มันไม่สวย แต่ดุดัน ผมอยากจะบอกว่าอย่างงั้น... และนี่คือสิ่งที่ GT-R เป็นมาตลอดช่วง generation ต่างๆ ของมัน… คือมันไม่ได้เน้นสวยงาม แต่เน้นมัดกล้ามที่ดูแข็งแรง ดูแล้วรู้เลยทันทีว่าเจ้า R34 นี่ไม่ธรรมดา เหมือนกับนักกล้ามบึกบึนสไตล์ Vin Diesel มากกว่าที่จะเป็นสาวสะโพกดินระเบิดอย่างพวก Ferrari หรือ Lamborghini... R34 มีล้อขนาด 18 นิ้วมาให้สี Gun Metallic สวยดีครับ พร้อมยางแก้มเตี้ยขนาด 245/40 ZR18 เท่ากันทั้งสี่ล้อ มองผ่านล้อเข้าไปจะเห็น caliper สีทองๆ เห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่า Brembo แน่นอน เพราะว่าแทบจะผูกขาดอยู่เจ้าเดียว (เหมือนสัมปทานบางอย่างในบ้านเรา)



ทางด้านหลังดูป่องและอวบอ้วนกว่าตัว GT-S เยอะ มี rear spoiler แบบ semi-GT wing ปรับได้มาให้จากโรงงาน สาวๆ บางคนอาจจะมองว่าเอาราวตากผ้ามาติดทำไม แต่จริงๆ แล้วมันมีประโยขน์มาก โดยเฉพาะกับรถ high-performance แบบนี้ เดี๋ยวจะบอกให้ฟังว่าเพราะอะไรตอนใหน ทดลองขับ... ไฟท้ายเป็น donut อร่อย เอ๊ย! สวย และคงความเป็น Skyline ไว้ได้เป็นอย่างดี ก่อนที่จะเพี้ยนจัด โดน Renault เอาไปปู้ยี่ปู้ยำจนกลายเป็นอะไรก็ไมรู้นามว่า 350GT หาความเป็น Skyline ไม่เจอ... ตรงด้านล่างของกันชนหลังมี diffuser ทำมาจาก carbon-fiber เพื่อจัดระเบียบกระแสลมใต้ท้องรถและรีดออกไปให้เร็วที่สุด เท่าที่ผมเห็นรถสปอร์ตญี่ปุ่นก็จะเพียงแค่เจ้าหมูป่านามว่า R34 GT-R นี่แหละที่มีการปิดใต้ท้องรถแบบ supercar จาก Italy มาให้เลยจากโรงงาน (อ้อ ตอนนี้มี Evolution IX อีกคัน)



ทางด้านเครื่องยนต์นั้น R34 GT-R ใช้เครื่องยนต์ที่สืบถอดต่อมาจาก R32 และ R33 ซึ่งก็คือ RB26 DETT แบบ Twin Turbo แต่จะได้รับการปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่อง มีฝาครอบวาล์วสีแดงสดใส (ส่วนของ R32-33 จะเป็นสีดำ) มีแรงม้ารวมๆ 280 bhp ที่ 6,800 รอบ ตามข้อตกลงการผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น แต่จริงๆ แค่ปรับปรุงนิดหน่อยแรงม้าก็พุ่งไประดับ 400 แรงม้าแล้วครับ ส่วนแรงบิดอยู่ที่ระดับ 40 kg-m ที่ 4,400 รอบ ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดาแบบ 6-speed ของ Getrag ที่มีระบบ Active LSD และที่สำคัญคือระบบขับเคลื่อนโคตะระอัจฉริยะชื่อ Atessa E-TS Pro ที่จะคอย วัด-จับ-ปรับ สารพัดอย่างเพื่อให้รถคันนี้มี grip สูงที่สุดในแต่ละช่วงเวลา จากการควบคุมระบบขับเคลื่อน และเลี้ยวสี่ล้อ
Engine[RB26DETT] Inline-6 Twin-Turbo
Cylinder Capacity2,600 cc
Max. Power280 bhp @ 6,800 rpm
Max. Torque293 Nm (216.1 lb-ft) @ 4,400 rpm
Weight/Power Ratio107.48 bhp/litre
Transmission4WD
Gear Box6-Speed Manual
0-1005.2 sec
0-40013.7 sec
0-1000- sec
100-0- sec
Top Speed250 km/h
Length4600 mm
Width1785 mm
Height1360 mm
Weight1,666 kg
เดินดูรอบคันไปแล้ว ขอเปิดประตูเข้ามาดูในรถบ้าง... พอเปิดเข้ามาได้แต่ส่ายหัวฮะ ไม่มีความ sport เลยให้ตายเหอะ console แข็งถื่อ เหลี่ยมๆ ไม่มี design ล้ำๆ ใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งห้องโดยสารเป็นสีเทาๆ หม่นๆ แล้วยิ่งไปกันใหญ่ฮะ ฉุดอารมณ์ให้หดหู่ได้ดีมากๆ ...แต่อย่างไรก็ดีจุดเด่นของห้องโดยสาร R34 GT-R ก็คือ เบาะ bucket seat หุ้มด้วยผ้าสีเทาดำทรงสวย กับจอ LCD ที่เป็น multi-function display สามารถวัดและบอกค่าต่างๆ ที่คันขับต้องการจะรู้ได้เป็นอย่างดี พวงมาลัยทรงสามก้านดู sport ดีครับ ไม่เหมือน R33 GT-R ที่เป็นสี่ก้าน ดูแล้วอุบาทว์มาก...



ทางด้านหน้าปัดของ R34 GT-R ก็เรียบๆ ไม่มีลูกเล่นอะไรมากมาย (หรือจะว่าไม่มีเลยก็ได้...) แต่ก็อ่านง่ายชัดเจนดีครับ คันนี้เปลี่ยนไปใช้ของ Nismo แบบพื้นขาวทั้งชุด วัดความเร็วได้ถึง 320 km/h ถ้าเป็นของเดิมพื้นจะดำครับ... ข้อแตกต่างอีกประการของพวก V-spec กับตัวธรรมดาก็คือ scale วัดรอบของตัว V-spec ช่วงตั้งแต่ 1-3000 rpm มันจะเบียดชิดติดกันเหมือนพวกคนขาดความอบอุ่น แต่ถ้าเป็นของพวกตัวไม่ V-spec scale จะเท่ากันหมดครับ
ตรง console กลางถัดจากจอ LCD ลงมาเป็นที่อยู่ของพวกระบบปรับอากาศและวิทยุ ดูแป๊บเดียวก็ใช้งานได้แล้วครับ ไม่เหมือนกับพวก iDrive ของ BMW รุ่นแรกๆ ที่ต้องจบการศึกษาระดับปริญญาก่อนถึงจะใช้ได้ ถัดลงมาเป็นที่อยู่ของด้ามและหัวเกียร์ ทรงสวยครับ ไม่ต้องไปเปลี่ยนให้เสียตังค์ เท่าที่ลองลูบๆ คลำๆ ดู ให้อารมณ์สยิวใช้ได้เลย น่าจับมาโยกเล่นเป็นที่สุด



ข้อดีเท่าที่ผมพบอีกข้อหนึ่งจากภายในห้องโดยสารของเจ้า R34 GT-R ก็คือที่นั่งด้านหลังกว้างขวางทีเดียวครับ สามารถขนพ่อตา แม่ยาย เพื่อนแฟน และน้องสะใภ้ไปพร้อมๆ กันได้
หลังจากที่ดูภายในภายนอกกันเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะ bucket seat ของเจ้า GT-R คันนี้... ถือว่ากระชับดีฮะ กระชับกว่าที่อยู่ใน R33 GT-R มากพอสมควร ห่อตัวคนขับได้ดีมาก อย่างไรก็ดีปีกเบาะที่ใช้ support ช่วงขายังไม่สูงมากนัก แต่ก็ทำให้ขึ้นลงสะดวกกว่าพวกเบาะ Recaro ที่อยู่ใน DC5 หรือ Evolution... ปรับพวงมาลัยและตำแหน่งต่างๆ อยู่สักพักก็เข้าที่ บิดกุญแจไปที่ตำแหน่ง start สักสองวินาทีเครื่องยนต์ก็ start ติด จอ LCD ตรงกลางขึ้นอักษร GT-R ตัวเบ้อเริ่ม หลังจากนั้นหน้าจอก็จะเปลี่ยนไปเข้าสู่หน้าจอ function หลักที่โชว์กราฟต่างๆ โดยไอ้เจ้าจอนี้มันทำได้สารพัดจริงๆครับ ไม่ว่าจะเป็นตั้งค่า bar ของแต่ละสิ่งที่วัด หรือว่าจะเลือกให้จอโชว์วัดบูสท์ วัดโวลท์ วัดแรงบิดล้อหน้า วัด oil temp, oil press, throttle, exhaust temp, injector, int-temp เท่ากับว่าไม่ต้องไปอุตริติดเกจ์วัดทั้งหลายให้รกห้องโดยสารแต่อย่างใด



เสียงเครื่องยนต์นี่ต้องยอมรับตามตรงว่าเงียบสนิทดีมาก ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดอารมณ์อยากจะขับซักเท่าไหร แถมไม่ได้ให้อารมณ์บ่งบอกเลยว่ารถคันนี้วิ่งได้ถึงระดับเกือบๆ 300 km/h นะเว้ย! รอบเดินเบาอยู่ที่ประมาณ 1,000 rpm ครับ น้ำหนักแป้น clutch ถือว่าไม่หนักเกินไป กำลังดี แต่ก็ไม่ได้นิ่มระดับรถบ้าน แต่รถติดๆ อย่างงี้ยังพอไหวครับ ไม่ต้องห่วงว่าตะคริวจะรับประทานจนต้องรีบเลี้ยวไปหาที่นวดแถวรัชดา... เหยียบ clutch เข้าเกียร์หนึ่ง เกียร์กระชับดีมากครับ ค่อยๆ ปล่อย clutch เติมคันเร่งเข้าไปรถก็เคลื่อนออกไปข้างหน้าเหมือนรถทั่วไป ไม่ได้จะกระโดดออกจนจะไปชนท้ายรถคันหน้าเหมือนกับพวกรถที่ใส่ clutch double plate หรือ triple plate



สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจเจ้า GT-R คันนี้ก็คือ ตำแหน่งต่างๆ ในรถมันถูกออกแบบมาให้คนขับใช้งานได้ง่ายจริงๆครับ ตำแหน่งนั่งจับพวงมาลัย แป้นคันเร่งแป้นเบรก สวิทช์ต่างๆ มันอยู่ใกล้มือไปหมด ปล่อยมือมาจากพวงมาลัยมาก็เจอเกียร์เลย ไม่ต้องเอี้ยวตัวหรือว่าความหาให้เสียเวลาครับ อย่างงี้เหมาะสำหรับเวลาที่ต้องการขับแบบโหดๆ ตำแหน่งเกียร์ก็แม่นยำและกระชับดี ไม่เหมือนเกียร์ของ Evo 8 ที่เข้าเกียร์แล้วจะมีงงๆ ว่า นี่มันเกียร์ไหนกันแน่หว่า นอกจากนี้ห้องโดยสารยังมี space กว้างขวางให้หายใจหายคอได้สะดวกครับ ไม่ต้อง,kนั่งคุดคู้เหมือนกับรถ sport coupe อื่นๆ



พอเอาเจ้า GT-R คันนี้ไปลองวิ่งในเมือง ก็นับว่าเด่นสะดุดตาพอใช้ได้ อันหนึ่งก็เนื่องมาจากสี Bayside Blue หรือที่ผมเรียกว่าสีน้ำเงินตอแหล มันโดดเด่นกว่ารถคันอื่นๆ บนท้องถนน และส่งผลให้มันเป็น attention พอสมควร ส่วนจะมองแล้วคิดยังไงต่อนี่ก็อีกเรื่อง เพราะเท่าที่สังเกตุดูตอนเอาไปตะล่อนๆ ในเมือง feedback ที่ได้รับจากผู้พบเห็นจะแบ่งเป็นสองอย่างชัดเจน จนสามารถเอามาทำ Customer Group ได้...
กลุ่มแรกคือกลุ่มชายหนุ่มครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะมองด้วยสายตาตื่นตระหนกตกใจเหมือนเห็นสัตว์ประหลาดมาวิ่งบนถนน ใครมีกล้องเป็นต้องหยิบขึ้นมาถ่าย ไม่ก็ต้องสะกิดเพื่อนที่นั่งข้างๆ ให้มาดู แต่ที่บอกว่าตระหนกนี่ไม่ได้ตระหนกเหมือนเห็นกระเทยควายแต่อย่างใด เพราะเป็นสายตาชื่นชมพร้อมปลาบปลื้ม (อันนี้ก็เว่อร์ไป) อันสุดจะแล้วแต่เหตุใดก็ไม่สามารถทราบได้ แต่ต้องยอมรับว่า R34 GT-R เป็นรถในฝันของวัยรุ่นที่นิยมชมชอบในความแรงและ performance ล้วนๆ จริงๆ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งครับที่หลงใหลในรถรุ่นนี้มาก



ส่วนกลุ่มที่สองคือกลุ่มสาวๆ ครับ อันนี้ก็เช่นกันมองด้วยสายตา ตื่นตระหนกตกใจเหมือนเห็น สัตว์ประหลาด แต่คราวนี้ตรงกันข้ามไม่มีการสะกิดเรียกเพื่อนดู ไม่มีการหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย แต่จะขมวดคิ้วเข้าหากันไม่ก็เบ้ปากเหมือนปวดท้อง ทำหน้าตาไม่เข้าใจ โดยผมตีความได้ประมาณว่า นี่มันรถอะไร ทำไมรูมันถึงเยอะและเหลี่ยมได้ถึงขนาดนี้ แถมบางคนที่ได้ขับตามหลังอาจจะคิดไปอีกว่า มันเอาราวตากผ้ามาติดทำไม จนกระทั่งบางคนถึงกับคิดว่านี่คือ Cefiro รุ่นใหม่สองประตู หรือไม่ก็ Sunny ตีโป่ง ทำให้ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า นี่คือรถ sport สองประตูที่สาวๆ มองน้อยที่สุดตั้งแต่ผมทำบทความมา เพราะมันไม่ได้ดูสวยเพรียวหรือเตี้ยแบนกว้างเหมือนกับสปอร์ตอื่นๆ เลยแม้แต่นิดเดียว
ดังนั้นถ้าจะเปรียบรถสปอร์ตอย่างม้า กบ กระทิงเป็น “chick magnet” แล้วละก็ มันคงไม่เกินเลยไปนักหากจะเปรียบว่าเจ้า R34 GT-R มันเป็น “guy magnet” เพราะมันมีเสน่ห์ดึงดูดสายตาชายหนุ่มหุ่นล่ำได้มากกว่าสาวๆ ยิ่งนัก



จากการทดลองใช้งานในเมืองอยู่นาน ผมก็พบข้อเสียของเจ้า R34 จนได้ ซึ่งก็คือช่วงล่างมันแข็ง กระแทกกระทั้นมันก้น ถ้าเป็นพวกที่ชอบซิ่งก็แล้วไป แต่ส่วนตัวถ้าเทียบกับช่วงล่างเดิมๆ ของรถทั่วไป มันถือว่าแข็งเกินหน้าเกินตาชาวบ้านชาวช่องเค้าครับ ยิ่งมาเจอกับถนนสุดเรียบในบ้านเรา เพราะผู้รับเหมาที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงมากในการสร้างถนนแล้วยิ่งไปกันใหญ่ กิน buffet อิ่มๆ มารับรองว่ามีพุ่ง สาวที่ไหนท้องรับรองว่ามีแท้ง พาพ่อตาแม่ยายมานั่งรับรองมีแช่ง มันกระเด้งกระดอนได้อารมณ์จริงๆ เมื่อผสมกับพวงมาลัยที่เบาหวิว ไร้ความรู้สึกและไวเมื่อเจอกับถนนไม่เรียบยิ่งกันใหญ่ ลองปล่อยมือแล้วเจอถนนเป็นคลื่น รับรองว่าพวงมาลัยมีดึงซ้าย ดึงขวา แล้วแต่ยถากรรมจนออกนอกทางไปอย่างแน่นอน ไวเกินไปครับในความคิดผม นอกจากนี้ก็มีปัญหาเรื่องขนาดตัวรถและวงเลี้ยวหน่อย ที่ผมถือว่าค่อนข้างกว้างแม้จะมีระบบ 4 wheels steering เข้ามาช่วยแล้วก็ตาม
ที่เหลือนอกจากนั้นก็ถือว่าดีครับ สอบผ่านสบายๆ กับการใช้งานในเมือง แอร์เย็น การเก็บเสียงถือว่าดีพอใช้... อย่างไรก็ดี แม้ว่า GT-R จะมีข้อเสียดังที่ผมกล่าวมา คนที่ได้เป็นเจ้าของส่วนใหญ่ก็บอกว่ารับได้ไม่มีปัญหา เพราะพวกเค้าไม่ได้คิดที่จะหาความสะดวกสบายจากเจ้า R34 GT-R อยู่แล้ว โดยสิ่งที่เค้าต้องการก็คือ performance และความมันส์ที่ได้รับจากการขับขี่ต่างหากล่ะครับ



หลังจากที่ทำความคุ้นเคยกับเจ้า GT-R ในเมืองอยู่นาน ผมก็ตัดสินใจพาเจ้าหมูป่าสีฟ้าตอแหลไปลองสมรรถนะเต็มๆ โดยก่อนที่จะลองก็ได้รับความรู้จากท่านสมาชิกในบอร์ดที่เป็นเจ้าของอยู่แล้วว่ารถเดิมๆ มันค่อนข้างอืดอยู่พอสมควร เลยทำใจล่วงหน้าไว้นิดหน่อย... พอได้โอกาสก็ปิดแอร์ เข้าเกียร์หนึ่งเหยียบ clutch จมเลี้ยงรอบไว้ที่ 5000 รอบ แล้วปล่อย clutch สวนคันเร่งลงไป รถมีเสียงล้อฟรีนิดเดียวครับ นิดเดียวจริงๆ ก่อนที่ระบบ Atessa E-TS Pro จะเริ่มทำงานและถ่ายแรงไปที่ล้อหน้า รถก็พุ่งออกไปข้างหน้าทันที อย่างไรก็ดีแรงดึงที่มีมันไม่มากอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย มันค่อนข้างอืดครับ แต่ก็ได้ยินเสียง turbo ทำงานพอเป็นกระสัน อันนี้ว่าไม่ได้ เพราะว่ารถหนักตั้ง 1.5 ตัน ใช้ turbo แบบ ball bearing 2 ลูก มีแรงม้า 280 แรงม้ากับแรงบิดแค่ 40 kg-m ลองนั่งคำนวณดูมันก็พอๆ Evo 8 MR แต่รถหนักว่าเยอะ ทำให้ไม่แปลกใจที่เกียร์แรกมันจะอืดๆ หน่อย



ลากไปต่อจนถึง 8,000 รอบ เหยียบ clutch สับลงเกียร์สองทันทีแล้วกระแทกคันเร่งสวนลงไป อ่า...รู้สึกว่ารถเริ่มพุ่งดีขึ้น รู้สึกถึงแรงดึงจาก turbo ทั้งสองลูกได้ตลอดทั้งเกียร์สอง พอสับลงเกียร์สามเท่านั้นแหละ โอ้ว รู้สึกเลยว่ารถมันวิ่งดี ขับสนุก อัตราเร่งมีมาเรื่อยๆ แรงดึงจาก turbo มีให้รู้สึกได้ตลอด พอลงเกียร์สี่ อูยส์ มันครับ มันดีจริงๆ รถยังพุ่งข้างหน้า ได้ยินเสียงของ turbo ทั้งสองลูกทำงานลอดเข้ามาในห้องโดยสาร อัตราเร่งก็ยังมีมาอย่างต่อเนื่องครับ ตรงกันข้ามกับ Evo ที่มักจะดึงหนักในสามเกียร์แรก แต่พอเกียร์สี่ห้าหก เริ่มห้อยและออกแนวไปเรื่อยๆ ในเกียร์ห้า เจ้า Godzilla ก็ยังขยันไต่ความเร็วไปเรื่อยๆครับ วันนั้นทำความเร็วไปถึงระดับ 250 kph. ในเกียร์หกใช้แค่ 5,000 Rpmกับอีกนิดๆ และใช้เวลาไต่ไปไม่นานเลย ช่วงอัตราเร่งเกียร์สาม สี่ ห้า มันไหลต่อเนื่องดีมาก ทุกครั้งที่ไล่จากเกียร์หนึ่งไปจนถึงเกียร์ห้าอารมณ์จะเริ่ม Peak ขึ้นเรื่อยๆ อืม...อ่า....โอ้ว...อูยส์ เอาอีกๆ อย่าคิดลึกนะผมหมายถึงความสนุกในการขับขี่ฮะ ไม่ใช่เรื่องอย่างที่คิดๆ กันอยู่
สิ่งที่ผมพบต่อมาก็คือที่ความเร็วระดับ 250 นี้ GT-R ก็ยังให้ความรู้สึกว่ามันมั่นคงและสนิทสนมกลมเกลียวกับพื้นโลกได้เป็นอย่างดี ตัวรถนิ่งมาก ไม่มีอาการแฉลบหรือทำท่าว่าจะปลิวหรือว่าท้ายเบาให้รู้สึกหวาบหวิวและหวั่นไหวแต่ประการใด กล้าพูดได้เลยว่านี่คือรถที่วิ่งที่ระดับความเร็ว 250 แล้วนิ่งที่สุดรุ่นหนึ่งเท่าที่ผมเคยสัมผัสมา มันนิ่งกว่า F360 Modena ของ Ferrari ซะอีก อันนี้ยกความดีความชอบให้กับระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัฉริยะ, diffuser และ ราวตากผ้าท้ายรถไปเต็มๆ



เกียร์อยู่ในตำแหน่งที่ดีจริงๆ ละมือมาจากพวงมาลัยก็เจอเกียร์เลย แถมเข้าง่ายกระชับและว่องไวพอตัว เหมาะแก่การไล่เกียร์ลงเมื่อเจอโค้ง โดยไม่ว่าจะเป็นโค้งกว้างหรือโค้งแคบ R34 GT-R สามารถพาผมเข้าโค้งได้ง่ายๆ ยกความดีให้กับระบบ Attesa E-TS Pro และ Active Differerntial ที่สามารถทำให้คุณ set รถเข้าโค้งได้ง่าย รถมีอาการหน้าดื้อเล็กน้อยครับ อย่างว่ารถเครื่องวางหน้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ หน้าก็หนักกว่ารถเครื่องวางกลางอย่าง Ferrari หรือ Lamborghini อยู่แล้ว จะให้มันจิกเข้าโค้งทุกๆ Apex ให้เหมือนรถอย่าง NSX ก็คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
อย่างไรก็ดี ด้วยความที่มันเป็นรถเครื่อง turbo รวมถึงอัตราเร่งในเกียร์สามถึงห้านั้นดีมากๆ ทำให้ ผมสามารถดันรถออกจากโค้งได้รวดเร็วทีเดียว ข้อดีอีกอย่างก็คือ GT-R มันไม่ใช่รถขับเคลื่อนสี่ล้อแท้ๆอย่าง Evo แต่มันยังมีความเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังอยู่ด้วย ดังนั้นหากคุณเดินคันเร่งในโค้งให้ถูกจังหวะไม่มากไม่น้อยเกินไป ท้ายรถก็จะกวาดออกครับ เหมือนเป็น oversteer แต่ท้ายไม่ได้ออกเว่อร์เหมือนรถเครื่องวางกลางที่พอท้ายออกแล้วมักจะเอากันไม่อยู่ oversteer ของ GT-R นี่คุมง่ายกว่าเยอะครับ เพราะเมื่อล้อหลังทำท่าจะเสียอาการก็มีการถ่ายแรงบิดไปที่ล้อหน้าแทน



อาศัยการเข้าช้า และเร่งออกให้เร็ว น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะกับ GT-R มากที่สุด เพราะถ้าเข้าแรงเกินไปหน้าจะแถและ understeer มากไป ส่วนพวงมาลัยของ GT-R ในโค้งมันก็ยังไม่สื่ออาการใดๆ ถามว่าเฉียบคมไหม ผมว่ามันก็คมนะ แต่ก็ยังไม่ได้คะแนนเต็ม ทุกครั้งที่หักพวงมาลัยรถมันจะยังไม่เลี้ยวทันทีเหมือนรถมันหยุดคิดประมวลผลสักแป๊บก่อนที่จะสั่งให้เลี้ยว แต่พอเลี้ยวไปแล้วก็ดั่งใจครับ คือมันก็ไปตามที่เราต้องการ แต่อาจจะไม่ได้ทันทีแค่นั้นเอง
ระบบเบรกไว้ใจได้ว่าเอาอยู่ครับ หากใช้งานแบบปรกติบนท้องถนน ไม่ต้องห่วงว่าเบรกจะ fade แต่อย่างใด แต่ถ้าหากเอาไปขับใน circuit แบบโหดๆ โค้งแคบๆ เยอะๆ นี่แนะนำให้เปลี่ยนผ้าเบรกเป็นแบบ High Fiction หน่อยก็ดีครับ เพื่อความมั่นใจมากขึ้น



หากไม่มองขนาดตัวรถที่ค่อนข้างใหญ่ของมัน กับหน้าตาที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับสาวๆ ผมมองว่า R34 GT-R เป็นรถที่ขับสนุกมากถึงมากที่สุดคันหนึ่งบนท้องถนน คุณสามารถใช้ความเร็วสูงๆ ได้ด้วยความมั่นใจ สามารถเบรกได้ลึกและเข้าโค้งได้อย่างมั่นคงอันเนื่องมาจากระบบขับเคลื่อนอันแสนฉลาดปาน อัลเบิร์ต ไอร์สไตน์ และสามารถเร่งออกจากโค้งได้อบย่างรวดเร็ว ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีแรงเพราะมี turbo ช่วย... อัตราเร่งถือว่าทำได้ดีครับ นี่ขนาดรถหนักเกือบๆ ตันครึ่ง แถมทุกอย่างเดิมสนิท ยังวิ่งได้ดีขนาดนี้ ผมว่ามันยอดเยี่ยมมากครับ



หากจะทำให้ Skyline R34 GT-R แสดง performance ออกมาให้ได้มากกว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดครับ การ modify step light tuning เป็นทางเลือกที่เหมาะสมมาก เพราะแค่ปรับปรุงระบบหายใจไม่ว่าจะหายใจเข้าหรือหายใจออก ก็สามารถทำให้ performance ของเจ้า R34 GT-R เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ โดยไม่ต้องไปยุ่งกับเครื่องยนต์จนเสียรถ เรื่องอุปกรณ์ตกแต่งนี่ไม่ต้องห่วง ถ้ารู้สึกคันขึ้นมาเมื่อไร หรือรู้สึกว่าแรงไม่พอ รับรองว่ามีของให้เสียตังค์แน่นอน อยากให้รถหน้าตาเป็นยังไง มีโป่ง ไม่มีโป่ง ล้อลายไหน ช่วงล่างนิ่มไป clutch เบาไป เอากี่ร้อยแรงม้า หรือถ้าบ้าพลังมากไม่เสียดายรถจะเอาพันแรงม้าก็สุดแล้วแต่ศรัทธา
ความคุ้มค่านี่แล้วแต่จะมองครับ ถ้ามองเรื่อง performance ละก็มันให้คุณได้เต็มร้อย แต่ถ้ามองเรื่องความสวยก็อีกเรื่อง แต่สำหรับผม รถคันนี้มันเป็นมากกว่ารถครับ มันมีคุณค่าในตัวของมันเอง ทำให้เป็นรถน่าเก็บสะสมเป็นที่สุด แถมราคารถตอนเพิ่งออกใหม่ๆ กับราคาขายต่อตอนนี้ก็ไม่ได้ตกลงไปซักเท่าไร หากจะพูดว่านี่เป็นรถที่คงมูลค่าในตัวของมันไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ไม่ต่างจากยอดรถสปอร์ตในทศวรรษที่ 90 อย่าง NSX หรือ Supra ก็คงไม่ผิดนัก
ส่วนใครที่คิดสนใจจะครอบครอง R34 GT-R แล้วละก็ ท่านเจ้าของท่านหนึ่งกำลังจะปล่อยเพราะว่าไม่มีเวลาดูแล รถสภาพสวยมือเดียว
Nissan Skyline BNR34 GT-R V-spec รถออกกลางปี 1999 ใช้ไป 44,000 กิโลเมตร เจ้าของซื้อมือหนึ่งและเป็นมือเดียว อุปกรณ์ตกแต่งที่ใส่ลงไปของเบิกใหม่ทุกชิ้น
Option:
ท่อ HKS Sport Exhaust รวมทั้ง Front Pipe,
intercooler HKS GT
HKS Hiper Damper Suspension
ปรับบูสต์ไฟฟ้า HKS EVC
เกียร์ C's Quick Shift
คลัทช์ Nismo
roll cage ของ Safty21
ล้อ Volk Racing SE37K
ยาง Yokohama AD07 เพิ่งเปลี่ยนไปไม่ถึง 1000 กิโลเมตร
รถเพิ่งเข้า service มา ทำที่ Ray Techno Service มาตลอด ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากท่านเจ้าของรถได้ที่ 01 982 3836 หรือ สนใจดูรถได้ที่ร้าน Auto Exhange พัทยากลาง ท่านเจ้าของเค้าฝากจอดไว้ที่นั่นครับ


Article By Narun Lee







Acceleration
น้ำหนักตัวตั้ง 1.5 ตัน เกียร์หนึ่งอาจจะดูเอื่อยๆ หน่อย แต่หลังจากเข้าปลายเกียร์สองไปจนถึงเกียร์ห้าขับสนุกมากๆ แป็บๆ ก็ทะลุ 220 แล้ว
8.5
Top Speed
รถเดิมๆก็วิ่งที่ระดับ 250 ได้สบายครับ ถ้าเอาไป Modify เพิ่มไม่ต้องห่วงมี 300 ให้เห็นแน่ๆ
9
Handling
เข้าไปเถอะครับ โค้งมากแค่ไหน GT-R ไปได้... อันนี้ผมยกความดีความชอบให้กับระบบขับเคลื่อนแสนอัจฉริยะ แถมที่ความเร็วสูงๆ ยังนิ่งสนิทอีก... มันเยี่ยมจริงๆครับ
10
Brake
Brembo เจ้าเก่าเจ้าเดิม ขับธรรมดาๆ เหมือนปถุชนคนทั่วไป รับรองว่าเอาอยู่สบายๆ แต่เสียดายทำไม caliper ถึงเล็กกว่าของ Evo 8 กับ Impreza GDB ล่ะ
9
Looks
แล้วแต่จะมองครับ ถ้าถามชายหนุ่มละก็รับรองว่าชอบกันทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าถามสาวๆหรือคนแก่ก็อีกเรื่อง
?
Comfort
ช่วงล่างแข็งไปเมื่อเทียบกับถนนเมืองไทย เบาะนั่งก็แข็งดีแท้ ถ้าเป็นคนขนาดตัวปกติก็กระชับดี แต่ถ้าเป็นอ่าเสี่ยพุ่งพลุ้ยก็คงอึดอัดหน่อย แต่เป็นรถที่มี head room, leg room กว้างขวางเหมือนกับรถบ้านสี่ประตูทั่วไป แอร์เย็นสบาย เครื่องเสียงก็พอไหว
7
Daily Usageถ้าไม่ติดตรงเรื่องช่วงล่างที่แข็งเกินไป พวงมาลัยที่ไวและเบาจนมีอาการดึงซ้ายดึงขวาเมื่อเจอถนนไม่เรียบ ขนาดตัวที่ใหญ่ และวงเลี้ยวที่กว้างแล้วละก็ ผมถือว่า R34 GT-R เป็นรถที่สามารถใช้งานได้ทุกวันครับ แอร์เย็น clutch ไม่แข็งเกินไป น้ำหนักกำลังดี ห้องโดยสารกว้างขวาง มีที่นั่งด้านหลัง แถมฝากระโปรงท้ายยังใส่ของได้อีกด้วย และตัวรถก็ไม่เตี้ยนักทำให้ขับไม่ลำบากเหมือนกับ supercar หลายๆ รุ่น
7
Value
เพราะว่ามันให้ performance ระดับ supercar ในราคาที่คุณจ่ายเพียง 1 ใน 5 ...แถมนั่งได้สี่คนอีกด้วยนะ...
9

More Pictures